![](https://thaiwave.club/wp-content/uploads/2025/02/CHUANG-ASIA-2-เตรียมพร้อมขึ้นจอสู่สายตาแฟนๆ-7-1000x540.jpg)
จากสถานการณ์ในช่วงนี้ถือว่าไข้หวัดใหญ่กลับมาระบาดอีกครั้ง จนทำให้มีผู้คนติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนหลายคน อาจจะทำให้ทุกคนสงสัยกันว่าจริง ๆ แล้วตนเองนั้นมีอาการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่หรือไม่ ? แล้วแตกต่างกับไข้หวัดปกติอย่างไร ? เพราะว่าอาการของสองไวรัสตัวนี้มีอาการที่คล้ายกันมากหากรู้ว่าตนเองเป็นไวรัสชนิดใดควรรีบไปรักษากับแพทย์โดยด่วน และอย่าปล่อยทิ้งไว้จนอาการแย่ลง
ทำความรู้จักกับเชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่
ไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็น ไวรัส RNA ที่จัดอยู่ใน ตระกูล Orthomyxoviridae ซึ่งมีสายพันธุ์หลัก ๆ ที่สามารถทำให้คนเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ได้ ได้แก่:
- ไวรัสอินฟลูเอนซา A (Influenza A)
- ไวรัสอินฟลูเอนซา B (Influenza B)
- ไวรัสอินฟลูเอนซา C (Influenza C)
ไวรัส A และ B คือสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ (pandemics) หรือการระบาดทั่วไป (epidemics) ของไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ ส่วน ไวรัส C มักทำให้เกิดโรคไข้หวัดในระดับที่เบากว่าและไม่ค่อยมีการระบาดใหญ่
อาการของไวรัสไข้หวัดใหญ่
- ไข้สูง (High fever)
- ไข้จะสูงประมาณ 38-40 องศาเซลเซียส และอาจมาพร้อมกับการหนาวสั่น
- ไข้มักจะเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงแรก
- ปวดหัวรุนแรง (Severe headache)
- อาการปวดหัวมักจะรุนแรงและบ่อยครั้งจะรู้สึกเหมือนมีความดันในศีรษะ
- อ่อนเพลียและเหนื่อยล้า (Fatigue and extreme tiredness)
- ความรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าจะค่อนข้างมาก ทำให้ไม่อยากลุกจากเตียง
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ (Muscle aches and body aches)
- อาการปวดกล้ามเนื้อและข้อต่างๆ จะรุนแรง มักรู้สึกเหมือนถูกตีหรือถูกบีบ
- ไอแห้ง (Dry cough)
- ไอจะเริ่มต้นแบบแห้งๆ และอาจทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลัง
- เจ็บคอ (Sore throat)
- บางคนอาจมีอาการเจ็บคอที่ร่วมกับไอ ซึ่งอาจทำให้กลืนอาหารหรือดื่มน้ำได้ลำบาก
- คัดจมูกหรือมีน้ำมูก (Runny nose or nasal congestion)
- แม้ว่าไม่ทุกคนจะมีอาการคัดจมูก แต่บางครั้งผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่อาจมีน้ำมูกไหลหรือจมูกอุดตัน
- หายใจลำบาก (Shortness of breath)
- ในบางกรณี อาจมีอาการหายใจไม่สะดวก เนื่องจากการอักเสบของทางเดินหายใจ
- ท้องเสียหรือคลื่นไส้ (Diarrhea or nausea)
- ในบางกรณี อาจมีอาการคลื่นไส้ หรือท้องเสียร่วมด้วย โดยเฉพาะในเด็ก
- การสูญเสียความอยากอาหาร (Loss of appetite)
- การอ่อนเพลียและปวดเมื่อยทำให้รู้สึกไม่อยากกินอาหาร
การแพร่กระจายของไวรัสไข้หวัดใหญ่
- การไอและจาม: เมื่อผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ไอหรือจาม ไวรัสในละอองน้ำลายจะกระจายออกมาสู่สิ่งแวดล้อมและสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของผู้ที่อยู่ใกล้เคียง
- การสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อน: หากคนที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สัมผัสกับวัตถุหรือพื้นผิวที่มีไวรัสและมีการสัมผัสหน้าหรือปากของตัวเอง ไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้
- การติดต่อใกล้ชิด: การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การจูบ หรือการพูดคุยในระยะใกล้ อาจทำให้ไวรัสแพร่จากผู้ติดเชื้อไปยังผู้อื่นได้ง่าย
การกลายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่
ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีลักษณะ กลายพันธุ์ ได้เร็วมาก ซึ่งหมายความว่าไวรัสนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมบ่อยๆ ทำให้มีสายพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกปี ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดการระบาดใหม่ที่รุนแรง หรือที่เรียกว่า pandemic เช่น ในกรณีของการระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ (H1N1) ในปี 2009
- Antigenic Drift: การกลายพันธุ์เล็กน้อยของไวรัสที่ทำให้ไวรัสสามารถหลบเลี่ยงการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายได้
- Antigenic Shift: การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างของไวรัสที่อาจทำให้เกิดการระบาดใหม่ที่มีความรุนแรง
การป้องกันและควบคุม
- การฉีดวัคซีน: การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปีสามารถช่วยลดโอกาสติดเชื้อได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว
- การรักษาความสะอาด: การล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า (ตา, จมูก, ปาก) ช่วยลดการติดเชื้อ
- การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย: หากมีคนในครอบครัวหรือที่ทำงานป่วย ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด
ทำความรู้จักกับเชื้อไวรัส ไข้หวัดธรรมดา
ไข้หวัดธรรมดา หรือ common cold เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินหายใจส่วนบน โดยเฉพาะ จมูก และ คอ ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัสที่ชื่อว่า Rhinovirus ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อไข้หวัดในมนุษย์ แต่ยังมีไวรัสชนิดอื่นๆ ที่สามารถทำให้เกิดไข้หวัดได้เช่นกัน เช่น:
- Coronavirus (ซึ่งไม่ใช่สายพันธุ์ที่ทำให้เกิด COVID-19)
- Adenovirus
- Respiratory Syncytial Virus (RSV)
- Parainfluenza Virus
อาการทั่วไปของไข้หวัดปกติ
- น้ำมูกไหล หรือ คัดจมูก (Nasal congestion)
- น้ำมูกมักจะเป็นสีใสในช่วงแรก แต่สามารถเปลี่ยนเป็นขุ่นหรือขาวได้
- บางครั้งอาจมีอาการจมูกอุดตันหรือหายใจลำบาก
- เจ็บคอ (Sore throat)
- บางคนอาจมีอาการเจ็บคอเล็กน้อย ซึ่งมักจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
- จาม (Sneezing)
- การจามบ่อยๆ เป็นอาการที่พบได้บ่อยในระยะเริ่มต้นของการเป็นหวัด
- ไอ (Cough)
- อาจเป็น ไอแห้ง หรือ ไอมีเสมหะ ขึ้นอยู่กับลักษณะของไวรัสที่ทำให้เกิดโรค
- อาจมีการไอระคายคอในช่วงกลางคืนหรือเวลาตื่นนอน
- อ่อนเพลีย (Fatigue)
- รู้สึกเหนื่อยล้าและไม่ค่อยมีแรง แม้จะไม่ได้มีไข้สูง
- ปวดหัวเล็กน้อย (Mild headache)
- บางคนอาจรู้สึกปวดหัวจากการอุดตันของไซนัสหรือจากอาการคัดจมูก
- มีไข้ต่ำๆ (Low-grade fever)
- บางคนอาจมีไข้ต่ำประมาณ 37.5 – 38 องศาเซลเซียส แต่ไม่สูงเหมือนไข้หวัดใหญ่
- ปวดเมื่อยตามตัว (Mild body aches)
- รู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเล็กน้อย
- ปวดหู (Occasional ear discomfort)
- บางครั้งอาจมีอาการปวดหูเล็กน้อยจากการอุดตันของหูจากการมีน้ำมูก
การแพร่กระจายของเชื้อ
- การไอและจาม:
- เมื่อผู้ที่ติดเชื้อไอหรือจาม เชื้อไวรัสจะถูกปล่อยออกมาในรูปแบบละอองน้ำลายหรือสารคัดหลั่งที่มีไวรัส ซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของคนที่อยู่ใกล้เคียง
- การสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ:
- เชื้อไวรัสสามารถอยู่บนพื้นผิวหรือสิ่งของที่ถูกสัมผัสได้ เช่น ลูกบิดประตู, โต๊ะ, โทรศัพท์ หรือที่จับรถเมล์ หลังจากนั้นเมื่อเราสัมผัสแล้วจับหน้า เช่น ตา, จมูก, หรือปาก เชื้อไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้
- การสัมผัสใกล้ชิด:
- การสัมผัสตัว หรือการพูดคุยในระยะใกล้ก็อาจทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายได้เช่นกัน
การฟื้นตัวจากไข้หวัด:
- ไข้หวัดธรรมดามักไม่ต้องการการรักษาด้วยยาแรงๆ และจะหายไปเองตามธรรมชาติ
- ควรเน้นการ พักผ่อนให้เพียงพอ, ดื่มน้ำมากๆ, และ รักษาความชุ่มชื้นในร่างกาย
- การใช้ยา พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือ ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) จะช่วยลดอาการไข้และปวดเมื่อย
- ยาลดน้ำมูก หรือ ยาลดอาการคัดจมูก สามารถช่วยบรรเทาอาการอุดตันหรือคัดจมูก
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดไข้หวัด
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: คนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือเด็กเล็กและผู้สูงอายุมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสได้มากขึ้น
- การใช้ชีวิตในที่แออัด: การใช้ชีวิตในที่มีคนเยอะๆ เช่น การเดินทางในที่แออัด หรือการอยู่ในห้องเรียนก็เพิ่มโอกาสในการติดเชื้อได้ง่าย
- ฤดูกาล: ไข้หวัดมักระบาดบ่อยในฤดูฝนหรือฤดูหนาวที่อากาศเย็น ซึ่งทำให้ระบบทางเดินหายใจอ่อนแอลง และไวรัสสามารถแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น
- การนอนหลับไม่เพียงพอและเครียด: การพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียดสามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้ร่างกายอ่อนแอและไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
สรุปแล้วไข้หวัดใหญ่จะมีอาการที่รุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา โดยมักมีไข้สูง, ปวดหัวรุนแรง, อ่อนเพลีย, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และไอแห้ง ซึ่งสามารถทำให้ผู้ป่วยรู้สึกทรมานและต้องการการรักษาโดยด่วน หากมีอาการหนักหรือแย่ลงควรไปพบแพทย์ทันที โดยไม่ว่าจะเป็นไวรัสชนิดไหนต่างมีความรุนแรงที่ต่างกันเพราะฉะนั้นเราควรรักษาตนเอง กินอาหารครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำเยอะๆ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสและสามารถใช้ชีวิตในประจำวันได้อย่างสุขภาพที่ดี
Cr. Saminee Laothanu