ไข้หวัดใหญ่ VS ไข้หวัดธรรมดา อย่างไร?

0
27

จากสถานการณ์ในช่วงนี้ถือว่าไข้หวัดใหญ่กลับมาระบาดอีกครั้ง จนทำให้มีผู้คนติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนหลายคน อาจจะทำให้ทุกคนสงสัยกันว่าจริง ๆ แล้วตนเองนั้นมีอาการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่หรือไม่ ? แล้วแตกต่างกับไข้หวัดปกติอย่างไร ? เพราะว่าอาการของสองไวรัสตัวนี้มีอาการที่คล้ายกันมากหากรู้ว่าตนเองเป็นไวรัสชนิดใดควรรีบไปรักษากับแพทย์โดยด่วน และอย่าปล่อยทิ้งไว้จนอาการแย่ลง

ทำความรู้จักกับเชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่

ไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็น ไวรัส RNA ที่จัดอยู่ใน ตระกูล Orthomyxoviridae ซึ่งมีสายพันธุ์หลัก ๆ ที่สามารถทำให้คนเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ได้ ได้แก่:

  1. ไวรัสอินฟลูเอนซา A (Influenza A)
  2. ไวรัสอินฟลูเอนซา B (Influenza B)
  3. ไวรัสอินฟลูเอนซา C (Influenza C)

ไวรัส A และ B คือสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ (pandemics) หรือการระบาดทั่วไป (epidemics) ของไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ ส่วน ไวรัส C มักทำให้เกิดโรคไข้หวัดในระดับที่เบากว่าและไม่ค่อยมีการระบาดใหญ่

อาการของไวรัสไข้หวัดใหญ่

  1. ไข้สูง (High fever)
    • ไข้จะสูงประมาณ 38-40 องศาเซลเซียส และอาจมาพร้อมกับการหนาวสั่น
    • ไข้มักจะเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงแรก
  2. ปวดหัวรุนแรง (Severe headache)
    • อาการปวดหัวมักจะรุนแรงและบ่อยครั้งจะรู้สึกเหมือนมีความดันในศีรษะ
  3. อ่อนเพลียและเหนื่อยล้า (Fatigue and extreme tiredness)
    • ความรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าจะค่อนข้างมาก ทำให้ไม่อยากลุกจากเตียง
  4. ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ (Muscle aches and body aches)
    • อาการปวดกล้ามเนื้อและข้อต่างๆ จะรุนแรง มักรู้สึกเหมือนถูกตีหรือถูกบีบ
  5. ไอแห้ง (Dry cough)
    • ไอจะเริ่มต้นแบบแห้งๆ และอาจทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลัง
  6. เจ็บคอ (Sore throat)
    • บางคนอาจมีอาการเจ็บคอที่ร่วมกับไอ ซึ่งอาจทำให้กลืนอาหารหรือดื่มน้ำได้ลำบาก
  7. คัดจมูกหรือมีน้ำมูก (Runny nose or nasal congestion)
    • แม้ว่าไม่ทุกคนจะมีอาการคัดจมูก แต่บางครั้งผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่อาจมีน้ำมูกไหลหรือจมูกอุดตัน
  8. หายใจลำบาก (Shortness of breath)
    • ในบางกรณี อาจมีอาการหายใจไม่สะดวก เนื่องจากการอักเสบของทางเดินหายใจ
  9. ท้องเสียหรือคลื่นไส้ (Diarrhea or nausea)
    • ในบางกรณี อาจมีอาการคลื่นไส้ หรือท้องเสียร่วมด้วย โดยเฉพาะในเด็ก
  10. การสูญเสียความอยากอาหาร (Loss of appetite)
    • การอ่อนเพลียและปวดเมื่อยทำให้รู้สึกไม่อยากกินอาหาร

การแพร่กระจายของไวรัสไข้หวัดใหญ่

  1. การไอและจาม: เมื่อผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ไอหรือจาม ไวรัสในละอองน้ำลายจะกระจายออกมาสู่สิ่งแวดล้อมและสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของผู้ที่อยู่ใกล้เคียง
  2. การสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อน: หากคนที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สัมผัสกับวัตถุหรือพื้นผิวที่มีไวรัสและมีการสัมผัสหน้าหรือปากของตัวเอง ไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้
  3. การติดต่อใกล้ชิด: การสัมผัสใกล้ชิด เช่น การจูบ หรือการพูดคุยในระยะใกล้ อาจทำให้ไวรัสแพร่จากผู้ติดเชื้อไปยังผู้อื่นได้ง่าย

การกลายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่

ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีลักษณะ กลายพันธุ์ ได้เร็วมาก ซึ่งหมายความว่าไวรัสนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมบ่อยๆ ทำให้มีสายพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกปี ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดการระบาดใหม่ที่รุนแรง หรือที่เรียกว่า pandemic เช่น ในกรณีของการระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ (H1N1) ในปี 2009

  • Antigenic Drift: การกลายพันธุ์เล็กน้อยของไวรัสที่ทำให้ไวรัสสามารถหลบเลี่ยงการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายได้
  • Antigenic Shift: การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างของไวรัสที่อาจทำให้เกิดการระบาดใหม่ที่มีความรุนแรง

การป้องกันและควบคุม

  • การฉีดวัคซีน: การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปีสามารถช่วยลดโอกาสติดเชื้อได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว
  • การรักษาความสะอาด: การล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า (ตา, จมูก, ปาก) ช่วยลดการติดเชื้อ
  • การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย: หากมีคนในครอบครัวหรือที่ทำงานป่วย ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด

ทำความรู้จักกับเชื้อไวรัส ไข้หวัดธรรมดา

ไข้หวัดธรรมดา หรือ common cold เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินหายใจส่วนบน โดยเฉพาะ จมูก และ คอ ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัสที่ชื่อว่า Rhinovirus ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อไข้หวัดในมนุษย์ แต่ยังมีไวรัสชนิดอื่นๆ ที่สามารถทำให้เกิดไข้หวัดได้เช่นกัน เช่น:

  • Coronavirus (ซึ่งไม่ใช่สายพันธุ์ที่ทำให้เกิด COVID-19)
  • Adenovirus
  • Respiratory Syncytial Virus (RSV)
  • Parainfluenza Virus

อาการทั่วไปของไข้หวัดปกติ

  1. น้ำมูกไหล หรือ คัดจมูก (Nasal congestion)
    • น้ำมูกมักจะเป็นสีใสในช่วงแรก แต่สามารถเปลี่ยนเป็นขุ่นหรือขาวได้
    • บางครั้งอาจมีอาการจมูกอุดตันหรือหายใจลำบาก
  2. เจ็บคอ (Sore throat)
    • บางคนอาจมีอาการเจ็บคอเล็กน้อย ซึ่งมักจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
  3. จาม (Sneezing)
    • การจามบ่อยๆ เป็นอาการที่พบได้บ่อยในระยะเริ่มต้นของการเป็นหวัด
  4. ไอ (Cough)
    • อาจเป็น ไอแห้ง หรือ ไอมีเสมหะ ขึ้นอยู่กับลักษณะของไวรัสที่ทำให้เกิดโรค
    • อาจมีการไอระคายคอในช่วงกลางคืนหรือเวลาตื่นนอน
  5. อ่อนเพลีย (Fatigue)
    • รู้สึกเหนื่อยล้าและไม่ค่อยมีแรง แม้จะไม่ได้มีไข้สูง
  6. ปวดหัวเล็กน้อย (Mild headache)
    • บางคนอาจรู้สึกปวดหัวจากการอุดตันของไซนัสหรือจากอาการคัดจมูก
  7. มีไข้ต่ำๆ (Low-grade fever)
    • บางคนอาจมีไข้ต่ำประมาณ 37.5 – 38 องศาเซลเซียส แต่ไม่สูงเหมือนไข้หวัดใหญ่
  8. ปวดเมื่อยตามตัว (Mild body aches)
    • รู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเล็กน้อย
  9. ปวดหู (Occasional ear discomfort)
    • บางครั้งอาจมีอาการปวดหูเล็กน้อยจากการอุดตันของหูจากการมีน้ำมูก

การแพร่กระจายของเชื้อ 

  1. การไอและจาม:
    • เมื่อผู้ที่ติดเชื้อไอหรือจาม เชื้อไวรัสจะถูกปล่อยออกมาในรูปแบบละอองน้ำลายหรือสารคัดหลั่งที่มีไวรัส ซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของคนที่อยู่ใกล้เคียง
  2. การสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ:
    • เชื้อไวรัสสามารถอยู่บนพื้นผิวหรือสิ่งของที่ถูกสัมผัสได้ เช่น ลูกบิดประตู, โต๊ะ, โทรศัพท์ หรือที่จับรถเมล์ หลังจากนั้นเมื่อเราสัมผัสแล้วจับหน้า เช่น ตา, จมูก, หรือปาก เชื้อไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้
  3. การสัมผัสใกล้ชิด:
    • การสัมผัสตัว หรือการพูดคุยในระยะใกล้ก็อาจทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายได้เช่นกัน

การฟื้นตัวจากไข้หวัด:

  • ไข้หวัดธรรมดามักไม่ต้องการการรักษาด้วยยาแรงๆ และจะหายไปเองตามธรรมชาติ
  • ควรเน้นการ พักผ่อนให้เพียงพอ, ดื่มน้ำมากๆ, และ รักษาความชุ่มชื้นในร่างกาย
  • การใช้ยา พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือ ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) จะช่วยลดอาการไข้และปวดเมื่อย
  • ยาลดน้ำมูก หรือ ยาลดอาการคัดจมูก สามารถช่วยบรรเทาอาการอุดตันหรือคัดจมูก

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดไข้หวัด

  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: คนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือเด็กเล็กและผู้สูงอายุมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสได้มากขึ้น
  • การใช้ชีวิตในที่แออัด: การใช้ชีวิตในที่มีคนเยอะๆ เช่น การเดินทางในที่แออัด หรือการอยู่ในห้องเรียนก็เพิ่มโอกาสในการติดเชื้อได้ง่าย
  • ฤดูกาล: ไข้หวัดมักระบาดบ่อยในฤดูฝนหรือฤดูหนาวที่อากาศเย็น ซึ่งทำให้ระบบทางเดินหายใจอ่อนแอลง และไวรัสสามารถแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น
  • การนอนหลับไม่เพียงพอและเครียด: การพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียดสามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้ร่างกายอ่อนแอและไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น

สรุปแล้วไข้หวัดใหญ่จะมีอาการที่รุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา โดยมักมีไข้สูง, ปวดหัวรุนแรง, อ่อนเพลีย, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และไอแห้ง ซึ่งสามารถทำให้ผู้ป่วยรู้สึกทรมานและต้องการการรักษาโดยด่วน หากมีอาการหนักหรือแย่ลงควรไปพบแพทย์ทันที โดยไม่ว่าจะเป็นไวรัสชนิดไหนต่างมีความรุนแรงที่ต่างกันเพราะฉะนั้นเราควรรักษาตนเอง กินอาหารครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำเยอะๆ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสและสามารถใช้ชีวิตในประจำวันได้อย่างสุขภาพที่ดี

Cr. Saminee Laothanu