ในสถานการณ์ช่วงนี้ภาวะฝุ่น PM2.5 ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเป็นอย่างมากเนื่องจากค่าที่สูงขึ้นของ ฝุ่น PM2.5 นั้นเพิ่มขึ้นทุกวันและยังคงน่าเป็นห่วงจนถึงตอนนี้ ทำให้รัฐบาลมีการสั่งปิดโรงเรียนและ work from home สำหรับบางบริษัทและบางโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยงความรุนแรงแล้ว โดยตอนนี้จำนวนโรงเรียนที่กรุงเทพมหานครสั่งปิดในสังกัดแล้ว 352 แห่ง จากทั้งหมด 437 แห่ง ที่มีค่าเฉลี่ยฝุ่นระดับสีแดง
โดยอันดับค่าฝุ่น PM2.5 ที่น่าเป็นห่วงในกรุงเทพมหานครนั้นมีดังนี้ ( ล่าสุด 24 มกราคม 2568 )
- เขตหนองแขม 108 มคก./ลบ.ม.
- เขตคันนายาว 107.7 มคก./ลบ.ม.
- เขตมีนบุรี 105 มคก./ลบ.ม.
- เขตทวีวัฒนา 103.8 มคก./ลบ.ม.
- เขตหลักสี่ 102.6 มคก./ลบ.ม.
- เขตคลองสามวา 101.5 มคก./ลบ.ม.
- เขตบางนา 101.2 มคก./ลบ.ม.
- เขตหนองจอก 101 มคก./ลบ.ม.
- เขตตลิ่งชัน 99.9 มคก./ลบ.ม.
- เขตบึงกุ่ม 99.5 มคก./ลบ.ม.
- เขตลาดพร้าว 98.8 มคก./ลบ.ม.
- เขตภาษีเจริญ 95.2 มคก./ลบ.ม.
จากสถานการณ์ตอนนี้รัฐบาลเผยมาตราการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 แล้วโดยมีการแจ้งกับทางภาคการเกษตรเชิงรุกโดยห้ามมีการเผ่าพื้นที่เกษตรตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม จนถึง 31 พฤษภาคม 2568 หากพบว่ามีการกระทำดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ผิด ขาดคุณสมบัติและถูกตัดสิทธิ์ในการเข้าร่วมโครงการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรทุกโครงการนับตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2568 จนถึง 31 พฤษภาคม 2570
ทำไมประเทศไทยถึงฝุ่นเยอะ ?
สาเหตุของการเกิดฝุ่น PM2.5 มี ดังนี้
- การเผาไหม้: การเผาพืชผลทางการเกษตร เช่น การเผาหญ้า หรือการเผาไม้ในเขตพื้นที่ภาคเหนือ
- การคมนาคม: การใช้ยานพาหนะจำนวนมาก ซึ่งปล่อยควันจากท่อไอเสีย
- การสร้างโรงงานและการก่อสร้าง: การระเบิดหรือการเคลื่อนย้ายดินทรายทำให้เกิดฝุ่นขึ้น
- สภาพอากาศ: ความชื้นต่ำและลมที่เบาบางในบางช่วงทำให้ฝุ่นสะสมในอากาศมากขึ้น
ผลกระทบของฝุ่น PM2.5 สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากฝุ่นมีขนาดเล็กจึงสามารถเข้าสู่ปอดได้ โดยผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 มีดังนี้
ผลกระทบระยะสั้น
- ระบบทางเดินหายใจ:
- อาการไอ: การหายใจเข้าไปในฝุ่นทำให้คอและทางเดินหายใจระคายเคือง ส่งผลให้เกิดอาการไอ หายใจลำบาก หรือหายใจไม่สะดวก
- หายใจติดขัด: คนที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด หรือโรคปอดเรื้อรัง อาจจะมีอาการหายใจติดขัดหรือหายใจไม่สะดวกมากขึ้น
- เจ็บคอและมีเสมหะ: การสูดดมฝุ่น PM2.5 อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในคอ ทำให้รู้สึกเจ็บคอ หรือมีเสมหะ
- อาการตาแสบตา: ฝุ่นละเอียดอาจเข้าสู่ดวงตาทำให้เกิดอาการตาแสบ น้ำตาไหล และทำให้ตาแดง
- การลดประสิทธิภาพการทำงานของปอด: เมื่อสูดดมฝุ่นเข้าไปในปอด จะทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์มีประสิทธิภาพน้อยลง ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย
ผลกระทบระยะยาว
- โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง: คนที่ได้รับฝุ่น PM2.5 อย่างต่อเนื่องอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) และ โรคหอบหืด ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น
- โรคหัวใจ: การสัมผัสกับฝุ่นPM2.5 ในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด โรคหัวใจ โดยทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและเกิดการอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ
- มะเร็งปอด: การสัมผัสกับฝุ่นในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด เนื่องจากฝุ่นละเอียดนี้สามารถสะสมในปอดและทำให้เซลล์ในปอดเกิดความเสียหาย
- ผลกระทบต่อระบบประสาท: บางงานวิจัยพบว่าฝุ่น PM2.5 อาจมีผลกระทบต่อสมอง ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อม (เช่น โรคอัลไซเมอร์) หรือปัญหาทางจิตใจต่างๆ เช่น ภาวะซึมเศร้า
- ผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเด็ก: เด็กที่สัมผัสกับฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวอาจมีความเสี่ยงในการพัฒนาโรคระบบทางเดินหายใจ และอาจมีผลต่อการเจริญเติบโตของปอด
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- คุณภาพอากาศแย่ลง: PM2.5 ส่งผลให้คุณภาพอากาศแย่ลง ทำให้ทัศนวิสัยลดลงและทำให้เกิดการปนเปื้อนในอากาศ
- การตกตะกอนของฝุ่น: ฝุ่น PM2.5 อาจทำให้เกิดการสะสมในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตร
วิธีป้องกันและลดผลกระทบ:
- ใส่หน้ากาก N95: หน้ากากชนิดนี้ช่วยกรองฝุ่น PM2.5 ได้ดี
- หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้าน: โดยเฉพาะในช่วงที่มีค่าฝุ่นสูงหรือช่วงที่มีการเผาไหม้
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรง: รักษาให้ร่างกายแข็งแรงโดยการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- ติดตามค่าฝุ่น: ใช้แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่รายงานคุณภาพอากาศในพื้นที่เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านเมื่อค่าฝุ่นสูง
หากมีอาการเกี่ยวกับทางเดินหายใจหรืออาการป่วยจากฝุ่นควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการดูแลรักษาให้เร็วที่สุด
Cr. Saminee Laothanu
ขอบคุณข้อมูลจาก: Thaipbs, Thaigov